ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาทองคำได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนที่ต้องการซื้อทองคำ โดยเฉพาะในช่วงต้นปี พ.ศ. 2567 ราคาทองคำได้ทะลุขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาล หลังจากการพุ่งทะลุจากแนวรับเดิม เนื่องจากสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกและภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจในทองคำมากขึ้น
เรามาทำความรู้จักกับทองคำกันดีกว่า ว่าควรซื้อเก็บไหมและสามารถซื้อผ่านช่องทางอะไรได้บ้าง
- ซื้อทองคำดีไหม
- แนวทางการซื้อทอง
- ทำไมต้องลงทุนในกองทุนรวมทองคำ
- เปรียบเทียบกองทุนรวมทองคำ
- สำรวจตัวเองก่อนลงทุนทองคำ
ซื้อทองคำดีไหม

ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ประเภท Safe Haven ที่มีคุณค่าโดยธรรมชาติ ไม่ขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น และสามารถรักษาหรือเพิ่มมูลค่าได้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
ทองคำมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นในระดับต่ำ หมายความว่า ราคาของทองคำมักไม่ไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อื่น ๆ ช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้
นอกจากนี้ ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) ซึ่งราคาสามารถเพิ่มขึ้นไปพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม ทองคำเป็นเพียงโลหะชนิดหนึ่งที่ไม่มีการจ่ายปันผล และราคาไม่ได้ขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐาน ความเสี่ยงของสินทรัพย์ทางเลือกประเภททองคำอยู่ในระดับที่ 8 ซึ่งเป็นระดับที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด
สรุปได้ว่า ทองคำเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรจากทองคำ และผู้ที่ต้องการออมทองเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
แนวทางการซื้อทอง

1. ซื้อทองคำแท่ง
การซื้อทองคำแท่งมีข้อดีที่สามารถจับต้องได้จริง ให้ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย แต่ข้อเสียคือการขนย้ายที่ไม่สะดวกเนื่องจากมีน้ำหนัก จำเป็นต้องมีตู้เซฟเพื่อเก็บรักษาทองคำ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นค่าบล็อกและค่าธรรมเนียมที่ต้องพิจารณา
2. ซื้อทองออนไลน์
การลงทุนในทองคำผ่านช่องทางออนไลน์มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ผู้ลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับการถือครองทองคำจริง โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ สามารถลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำกว่าการซื้อทองคำแท่ง ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า และไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาทองคำด้วยตนเอง การซื้อขายก็สะดวกสบาย สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถถอนเงินออกมาได้ภายใน 1 วันทำการ อย่างไรก็ตาม ข้อที่ควรพิจารณาประกอบก็คือความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มหรือร้านทองที่ให้บริการ ซึ่งผู้ลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนทำการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ
3. ซื้อทองผ่านกองทุนรวม
การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมผู้ลงทุนสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่คล้ายคลึงกับการถือครองทองคำจริง และยังมีข้อดีในเรื่องของมูลค่าการลงทุนเริ่มต้นที่น้อยมาก (สามารถเริ่มต้นการลงทุนได้ที่ 1 บาท) นอกจากนี้ ยังไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาทองคำด้วยตนเอง ช่วยลดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและการจัดการที่ยุ่งยาก การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมนี้ยังได้รับการบริหารจัดการโดยสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ ทำให้มั่นใจได้ในความเป็นมืออาชีพและความโปร่งใส การซื้อขายก็ทำได้สะดวกผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้การลงทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกและความยืดหยุ่น
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียหนึ่งของการลงทุนผ่านกองทุนรวมคือมีค่าธรรมเนียมรายปีที่ต้องชำระ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลตอบแทนรวมในระยะยาว ดังนั้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาค่าธรรมเนียมเหล่านี้เมื่อทำการตัดสินใจลงทุน
ทำไมต้องลงทุนในกองทุนรวมทองคำ
การซื้อทองคำในยุคปัจจุบันนี้ สามารถซื้อได้อย่างสะดวกสบายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีผู้ให้บริการหลายราย สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยไม่ต้องการถือทองคำจริง การลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นทางเลือกที่ง่ายและใช้เงินในการลงทุนเริ่มต้นที่น้อยมาก (บางกองทุนสามารถเริ่มต้นการลงทุนได้ที่ 1 บาท)
การลงทุนทองคำผ่านกองทุนรวมมีข้อดีหลายประการ ได้แก่ ความสะดวกในการซื้อขายที่สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์ และความสามารถในการจัดสัดส่วนให้เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายได้ นอกจากนี้ การติดตามและดูแลพอร์ตการลงทุนก็สามารถทำได้ง่าย รวมไปถึงผลตอบแทนก็มีความใกล้เคียงกับการลงทุนในทองคำจริง
ในขณะที่บางคนอาจกังวลเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมของกองทุนรวม กองทุนทองคำส่วนใหญ่เป็นกองทุน Passive Fund ที่ลงทุนตามดัชนีราคาทองคำโลก ทำให้ค่าธรรมเนียมมีระดับต่ำ โดยปกติอยู่ที่ประมาณ 1% ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำจริงที่มีค่าพรีเมี่ยมและค่าบริการรวมอยู่ด้วย จึงไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
เปรียบเทียบกองทุนรวมทองคำ
กองทุนทองคำมักเป็นกองทุน Passive Fund ที่ลงทุนโดยติดตามราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีหลักทรัพย์อ้างอิง โดยกองทุนทองคำจะลงทุนตาม SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีนโยบายในการซื้อและเก็บทองคำแท่งจริง ทำให้ราคาของกองทุนนี้เคลื่อนไหวไปตามราคาทองคำในตลาดโลก

ความแตกต่างหลักของกองทุนทองคำ อยู่ที่นโยบายในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งมีทั้งกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge) และกองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedge) เนื่องจากทองคำซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การแลกเปลี่ยนกลับเป็นเงินไทยจะได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน หากเงินบาทอ่อนค่า ราคาทองคำจะสูงขึ้น แต่หากเงินบาทแข็งค่า ราคาทองคำจะลดลง
– กองทุนรวมที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedge)
| ชื่อกองทุน | ลงทุนขั้นต่ำ | ค่าธรรมเนียมขาย | ค่าบริหารกองทุน |
| SCBGOLD | 1 | 0.54% | 0.55% ต่อปี |
| KF-GOLD | 500 | 0% | 1.17% ต่อปี |
| TMBGOLD | 1 | 0% | 1.22% ต่อปี |
– กองทุนรวมที่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge)
| ชื่อกองทุน | ลงทุนขั้นต่ำ | ค่าธรรมเนียมขาย | ค่าบริหารกองทุน |
| SCBGOLDH | 1 บาท | 0.54% | 0.55% ต่อปี |
| K-GOLD-A(A) | 1 บาท | 0% | 0.64% ต่อปี |
| UOBSG – H | 1 บาท | 0% | 1.26% ต่อปี |
| KF-HGOLD | 500 บาท | 0% | 1.18% ต่อปี |
ในการเลือกกองทุนทองคำ หากคาดการณ์ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าในอนาคต การเลือกกองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(Unhedge) อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ในขณะที่หากเป็นนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากค่าเงิน การเลือกกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge) จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อความอุ่นใจ
สำรวจตัวเองก่อนลงทุนทองคำ
- ทองคำไม่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่มูลค่าขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานเท่านั้น ทำให้มีความผันผวนสูง
- ในอนาคตหากความต้องการทองคำลดลง ทองคำอาจสูญเสียมูลค่า แต่โอกาสนั้นน้อยมาก เนื่องจากทองคำมีบทบาทสำคัญในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ และใช้เป็นเครื่องประดับ
- การซื้อขายทองคำทำด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าหรืออ่อนค่าจะส่งผลต่อราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
- ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยกองทุนทองมีความเสี่ยงระดับ 8 ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงที่สูงที่สุด ผู้ลงทุนควรทำการศึกษาอย่างละเอียดก่อนการลงทุน

Leave a comment